ชาวบ้านโวยเงียบฉี่ร้องเรียนตั้งแต่เป็นผู้ใหญ่บ้าน จนได้รับแต่งตั้งเป็นกำนัน ตัดปาล์มหมู่บ้านขายนาน 7 ปี เงินกว่า 2.5 ล้าน หายไปไหน ทวงถามในที่ประชุมหมู่บ้านทุกครั้งก็ไร้คำตอบ สุดทนต้องร้องสื่อ
ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน ม.6 บ้านเนินทอง ต.สลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ว่าสืบเนื่องจากระบบน้ำประปาหมู่บ้านชำรุดต้องการจัดซื้ออะไหล่ซ่อมแซมระบบน้ำและขอทำเบิกเงินกับผู้ใหญ่บ้านแต่ปรากฏว่าไม่มีเงิน จากนั้นชาวบ้านได้ทวงถามเรื่อยมาถึงรายรับจากการขายผลปาล์มน้ำมันบนที่ดินสาธารณะของหมู่บ้าน จำนวน 47 ไร่ เป็นเงินจนถึงปัจจุบันกว่า 2.5 ล้านบาท ที่ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้จัดการทั้งหมด แต่ปรากฏว่าไม่มีคำชี้แจงให้ชาวบ้านรับทราบแต่อย่างใด เมื่อทวงถามเรื่องเงินในที่ประชุมประจำเดือน ว่าขายผลปาล์มน้ำมันแต่ละรอบแต่ละเดือนขายได้เท่าไหร่เหลือเงินเท่าไหร่ ก็ถูกบ่ายเบี่ยงตลอด ร้องเรียนหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องก็เงียบไม่มีความคืบหน้า จึงร้องผู้สื่อข่าวเพื่อเป็นสื่อกลางในการนำเสนอข่าวและตรวจสอบข้อเท็จจริง
วันที่ 8 ก.ค.68 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่ พบกับ นายอรุณ ช่วยชูหนู อายุ 60 ปี พร้อมด้วย นายธีรยุทธ คงน้อย อายุ 48 ปี นายพรณรงค์ บุญทอง อายุ 46 ปี ทั้งสามคนบ้านอยู่หมู่ 6 ตำบลสลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ซึ่งเป็นตัวแทนของชาวบ้าน นำไปยังสวนปาล์มน้ำมันของหมู่บ้านจำนวน 47 ไร่
โดยพบว่าสวนปาล์มน้ำมันดังกล่าวมีติดกับถนนคอนกรีตภายในหมู่บ้าน นายธีรยุทธและนายอรุณ ให้ข้อมูลว่าปาล์มน้ำมันที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้จำนวน 2 แปลง คือแปลงที่ 1 มีเนื้อที่ 32 ไร่ ต้นปาล์มจำนวน 570 ต้น แปลงที่ 2 จำนวน 15 ไร่ ต้นปาล์มจำนวน 300 ต้น ทั้ง 2 แปลงเก็บผลปาล์มฯได้เฉลี่ยประมาณ 10 ตันต่อรอบ ส่วนอีก 2 แปลง เป็นปาล์มเล็กยังไม่มีลูกรวมที่ดินสาธารณะของหมู่บ้านมีทั้งหมดจำนวน 73 ไร่
ตัวแทนชาวบ้าน ให้ข้อมูลอีกว่าเนื่องด้วยหมู่ที่ 6 ตำบลสลุย อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ได้มีที่ดินสาธารณะ จำนวน 73 ไร่ โดยมีผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันเป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบ และได้เก็บเกี่ยวผลผลิตปาล์มไปใช้โดยไม่มีการแจ้งรายรับ รายจ่าย ไม่มีการเปิดบัญชีและไม่เคยแจ้งอะไรให้ชาวบ้านได้รับรู้ผลผลิตในที่ดินสาธารณะนี้เลย และพอมีการประชุมหมู่บ้านทุกวันที่ 8 ของทุกเดือน ชาวบ้านจะสอบถามผู้ใหญ่ ก็จะถูกปฏิเสธเรื่อยมาตลอด อ้างจะนำเอกสารหลักฐานมาแสดง ซึ่งตั้งแต่รับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านเป็นเวลา 7 ปี 6 เดือน คณะกรรมการหมู่บ้านก็เป็นชุดใหม่ ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบเรื่องนี้ได้
ตัวแทนชาวบ้านกล่าวว่า ซึ่งเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ชาวบ้านก็ยังได้ทำหนังสือร้องเรียนไปถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบช่วยตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นทางอำเภอท่าแซะ และทางจังหวัด เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ว่าเงินยังเหลือหรือยังมีอีกหรือไม่ แต่เรื่องก็เงียบหายไปไม่มีความคืบหน้า ไม่มีคำตอบให้ชาวบ้านแต่อย่างใด หากมามองถึงผลผลิตในสวนปาล์มในแต่ละรอบคือ 20 วัน จัดเก็บครั้งหนึ่ง จะมีรายได้เฉลี่ยเดือนละประมาณ 30,000 บาทต่อเดือน ถ้านำตัวเลขกลมๆมารวมขั้นต่ำ ปีละ 360,000 รวม เวลากว่า 7 ปี เป็นจำนวนเงินกว่า 2,520,000 นาท(สองล้านห้าแสนสองหมื่นบาท)โดยประมาณ
ตัวแทนชาวบ้าน กล่าวต่อว่า พวกตนไม่ได้จะต้องการจับผิด หรือนำการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ต้องการให้ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 26 เดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกำนันอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ทำให้ชาวบ้านเกิดความเคลือบแคลงใจ จึงได้ทำหนังสือถึง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จังหวัดชุมพร และศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชุมพรแล้ว เพื่อขอความอนุเคราะห์ตรวจสอบปาล์มน้ำมันหมู่บ้าน หมู่ 6 ตำบลสลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ว่าผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันคนดังกล่าว มีการบริหารจัดการเงินจากการขายปาล์มน้ำมันความโปร่งใสหรือไม่อย่างไร และวันที่ 8 ก.ค.68 ก็มีการประชุมหมู่บ้านอีก ซึงทางผูัใหญ่บ้านก็ไม่เข้าประชุมด้วยแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการประชุมหมู่บ้านในช่วงบ่ายของวันที่ 8 ก.ค.68 โดยมีชาวบ้าน กว่า 30 คน ได้เดินทางมาร่วมประชุมประจำเดือนหมู่บ้าน ณ ศาลาหมู่บ้าน มี นายก อบต.สลุย พร้อม ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และคณะกรรมการหมู่บ้าน แต่ก็ไร้วี่แววของผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันคนดังกล่าว ซึ่งไม่เข้าร่วมประชุมด้วยแต่อย่างใด โดยทางผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบอกว่ากำนันติดภารกิจไม่สามารถเข้าร่วมประชุมหมู่บ้านครั้งนี้ได้ ทางผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านลงความเห็นว่าจะนัดกันอีกทีในวันที่ 8 เดือนหน้า ทำให้ชาวบ้านผิดหวังบ่นอุบ หลังรอมา 7 ปีกว่า จะต้องรอไปอีกเท่าไหร่
ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้สอบถามผ่านทางโทรศัพท์ กับนายพิศิษฐ์ ฤทธิพิชัยสงคราม นายอำเภอท่าแซะ ในกรณีดังกล่าว ซึ่งได้รับคำตอบว่า ทางอำเภอท่าแซะได้รับการร้องเรียนเข้ามาแล้วและได้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดมากนั้น แต่เรื่องนี้จะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย







