พื้นที่กฎอัยการศึกชายแดนชุมพร-ระนอง สะเทือนความมั่นคง หลังแก๊งอิทธิพลแอบเปิดช่องทางเถื่อนเข้า-ออกนอกราชอาณาจักรหลายจุด ทำผิดกฎหมาย ขนสินค้าเถื่อน แรงงานต่างด้าว รุกป่า ขณะที่โฆษก กอ.รมน.แจงตรวจสอบดำเนินคดี พร้อมสั่งกำลังพลทำงานเชิงรุก
ชายแดนไทย-เมียนมา ด้านอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพรและอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ยังเป็นพื้นที่ประกาศคงพื้นที่กฎอัยการศึกมานานแล้ว และปัจจุบันยังไม่มีการประกาศยกเลิกแต่อย่างไร โดยมีฐานปฎิบัติการกองกำลังทหาร ดูแลด้านความมั่นคงระหว่างประเทศบริเวณชายแดน ด้านอำเภอท่าแซะ จ.ชุมพร ไปยังพื้นที่ประกาศคงพื้นที่กฎอัยการศึก ชายแดนด้านอำเภอกระบุรี ในพื้นที่ จ.ระนอง และซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อกัน
โดยชายแดนทั้ง 2 จังหวัด ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ถึงการทำงานหน่วยงานปกป้องประเทศตามแนวชายแดน เพราะกำลังกลายเป็นประเด็นร้อน เรื่องภัยความมั่นคงชองชาติ ที่มีกลุ่มอิทธิพลทั้งบุคคลธรรมดา เจ้าหน้าที่รัฐ และกองกำลังติดอาวุธชนกลุ่มน้อยร่วมกับกลุ่มคนไทยติดอาวุธจัดตั้งหมู่บ้านนอกราชอาณาจักร ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายประเทศไทย และกฎหมายระหว่างประเทศ อันส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและเศรษฐกิจ ตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 1 พ.ค.68 เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว โฆษก กอ.รมน. ชี้แจงว่าได้สั่งการทหารฐานปฎิบัติการชายแดนเข้มงวดทำงานเชิงรุก ปิดช่องทางเถื่อน ตั้งชุดลาดตระเวนเพิ่ม เผยได้ร่วมกับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และ กกล.เทพสตรี ตรวจสอบพบข้อมูลเจ้าหน้าที่รัฐมีพฤติการณ์ร่วมกันกระทำความผิดรุกที่สาธารณะ พร้อมส่งเรื่องให้ป.ป.ช.-ปปป.เร่งตวจสอบตามกระบวนการ
โดย พลตรีธรรมนูญ ไม้สนธิ์ โฆษก กอ.รมน. ได้ชี้แจงถึงกรณีที่มีข้อร้องเรียนปัญหาอิทธิพลในพื้นที่ชายแดน จ.ชุมพร-ระนอง ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในห้วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ขณะนี้ได้มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ทำการตรวจแล้ว เพื่อดำเนินการตามกฎหมายกับกลุ่มผู้กระทำผิด
พลตรีธรรมนูญกล่าวว่า <span;>ก่อนหน้านี้ กอ.รมน.ภาค 4 ได้รับการประสานจากส่วนสอบสวน 4 สำนักสอบสวน 4 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เนื่องจากมีข้อเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในจังหวัดชุมพร กรณีมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ที่มีพฤติการณ์ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นภัยต่อความมั่นคงภายใน
ทั้งนี้จากการตรวจสอบ สืบสวน และสอบปากคำพยานในพื้นที่พบว่า มีบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน รวมกว่า 10 ราย ซึ่งมีพฤติการณ์ร่วมกันกระทำความผิดในลักษณะเป็นขบวนการ เช่น การบุกรุกพื้นที่สาธารณะ ปลูกพืชผลอาสินโดยมิชอบ การนำเข้าสินค้าทางเกษตรโดยผิดกฎหมาย และลักลอบขนย้ายโรฮีนจาเข้าประเทศ ซึ่งถือเป็นความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ
โดยคณะทำงานฯ ได้รวบรวมพยานหลักฐาน พร้อมสรุปสำนวนการสอบสวนและบันทึกคำให้การของพยาน ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป.เพื่อให้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง และพิจารณาดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องตามกระบวนการของกฎหมาย
ขณะเดียวกัน กองทัพบก โดยกองกำลังเทพสตรี ได้เพิ่มความเข้มงวดบังคับใช้กฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาในพื้นที่เชิงรุก ปิดกั้นเส้นทางทำเครื่องกีดขวางในพื้นที่สุ่มเสี่ยง 4 จุด ปิดกั้นช่องทางธรรมชาติ 5 ช่องทาง และจัดตั้งชุดลาดตระเวนเพิ่มเติม 3 ชุด ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ รวมถึงการลักลอบกระทำผิดตามแนวชายแดนลดลงเป็นลำดับ
” ทั้งนี้ กอ.รมน. จะมุ่งมั่นในการบูรณาการและขับเคลื่อนภารกิจด้านความมั่นคงทั้งในมิติการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการแก้ไขปัญหาเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอบคุณหน่วยงานที่มีส่วนร่วมในการเข้าแก้ไขปัญหา เสริมสร้างความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงให้แก่ประเทศ และหากประชาชนพบเห็นการกระทำผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งเบาะแสต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเข้าระงับเหตุและดำเนินการตามกฎหมายได้อย่างทันท่วงที.” โฆษก กอ.รมน.กล่าว

